Logo
บริษัท เอกชัย สาลี่สุพรรณ จำกัด
Ekachai Salee Suphan Co., Ltd.

สมุนไพรไทย (ส่วนประกอบสาลี่กรอบสมุนไพร)

21/04/2555 15:58:53 1,463

ชื่อท้องถิ่น ดอกจันทน์ จันจี่ (ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤษศาสตร์
กานพลู เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม มีกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกตรงกันข้ามเรียงกัน ใบมีลักษณะเป็นมันหนา มีรูปร่างคล้ายหอกแหลม ใบอ่อนมีสีชมพูแดง ตามใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ส่วนยอดของดอกอยู่ในระดับเดียวกันเหมือนโดนตัด ช่อดอกประกายด้วยดอกย่อยประมาณ 10 ดอก กลีบดอกมี 4 กลีบ ดอกเมื่อแก่มีสีแดงเข้ม ลักษณะคล้ายตะปู ดอกมี่นิยมเก็บมาเป็นเครื่องเทศและมีคุณภาพดีคือช่วงที่ดอกตูมกำลังจะ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นแดง (ประมาณเดือนมิถุนายน-กุมภาพันธ์) หากเก็บก่อนหรือหลังจากนั้นจะได้กานพลูที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งหลังจากที่เก็บมาแล้วต้องนำไปตากแดดให้แห้งจนกระทั่งดอกตูมเปลี่ยนเป็น สีน้ำตาลเข้มเสียก่อน จึงจะนำมาใช้ได้

สรรพคุณ
น้ำมัน กานพลูสามารถฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด เช่น เชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคไทฟอยด์ โรคบิดชนิดไม่มีตัว และช่วยยับยั้งเชื้อราที่ทำให้เป็นโรคกลากและตกขาว

1. น้ำมันกานพลูมี ฤทธิ์เป็นยาช่วยระงับอาการปวดฟันและแก้โรครำมะนาด โดยใส่น้ำมันกานพลูในรูฟันที่ปวดหรือเคี้ยวดอกกานพลู 1-2 ดอกช่วยกำจัดกลิ่นปาก
2. แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมและช่วยย่อยอาหาร โดยใช้ดอกกานพลู 5-8 ดอก บดให้เป็นผงรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ และใช้ดอกกานพลู 3 ดอก ทุบให้แตกแช่ในน้ำเดือดสำหรับชงนมประมาณ 750 ซีซี ให้เด็กรับประทาน
3. น้ำมันกานพลูเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคต่างๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ยาขับระดู ยาแก้ปวดท้อง
4. กานพลูใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก สบู่ รวมทั้งใช้สังเคราะห์กลิ่นวานิลลา
5. น้ำมันกานพลูใช้ไล่ยุงและช่วยป้องกันกลิ่นหืนของน้ำมันได้

วิธีใช้ในการประกอบอาหาร

ก่อนใช้กานพลูประกอบอาหารควรจะคั่วเสียก่อนเพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ดใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกง ซอสมะเขือเทศ ผักดอง ส่วนน้ำมันกานพลูใช้แต่งกลิ่นอาหารกระป๋องและเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก แฮม ใช้แต่งกลิ่นลูกกวาด ขนมเค้ก หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอกจากนี้กานพลูยังเป็นของเคียงในการกินหมากอีกด้วย

วิธีปลูก

กานพลู เป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุยมีการระบายน้ำได้ดี สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี แต่ที่นิยมกันมากที่สุด คือ การเพาะเมล้ด เพราะจะทำให้ได้ผลผลิตยาวนาน ซึ่งหลังจากเก็บเมล็ดจากต้นแล้วต้องรีบปลูกทันทีภายใน 1 สัปดาห์ และควรปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน กานพลูจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี โดยจะเริ่มออกดอกในเดือนสิงหาคมถึงกันยายนและหลังจากนั้นอีก 4 เดือน ดอกจะโตเต็มที่พร้อมที่จะเก็บได้

อบเชย (ชื่อวิทยาศาสตร์ : zeylanicum Cinnamomum) เป็นต้นไม้ขนาดเล็กที่เติบโตในอินเดีย, ศรีลังกา, อินโดนีเซีย, บราซิล, เวียดนาม, และอียิปต์ อบเชยที่เรามักจะซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตของเราเป็นจริงเปลือกไม้ของต้นไม้นี้ ขายไม่ว่าจะเป็น sticks (ที่เรียกว่า quills) หรือบดผง มีสี่สายพันธุ์หลักของการออกของซึ่งอบเชยอบเชยและอบเชยซีลอน Cassia จะเป็นที่นิยมมากที่สุด อบเชยซีลอน (caled บางครั้งอบเชยจริง) มีราคาแพงมากขึ้นและมีรสหวานกับ quills นุ่ม Cassia อบเชยเป็นพันธุ์ที่ราคาไม่แพงของอบเชยที่มีสีเข้มขึ้นและ quills หนัก ความสามารถในการรักษาเอกลักษณ์ของอบเชยมาจากสามองค์ประกอบที่ใช้งานที่พบใน น้ำมันหอมระเหยที่ : cinnamaldehyde, acetate cinnamyl และแอลกอฮอล์ cinnamyl ประโยชน์ของการอบเชยได้รับการรู้จักกันมานานกว่า 5,000 ปีและได้รับการยอมรับโดยชาวอียิปต์และแม้แต่โรมโบราณ เพื่อขอเปิดกล่องนี้ Pandoras ของประโยชน์ต่อสุขภาพ :

  1. มีผลบังคับใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน : การศึกษาพบว่าอบเชยอาจช่วยให้ผู้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการเพิ่มความไวของอินซูลินของพวกเขาจึงปานกลางลดระดับน้ำตาลในเลือดของ พวกเขา การศึกษาตีพิมพ์ในวารสารการดูแลโรคเบาหวานในปี 2003 พบว่าผู้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การ 1, 3, หรือ 6 กรัมอบเชยในรูปแบบของยาเม็ดทุกวัน (เทียบเท่ากับหนึ่งในสี่ของช้อนชาถึง 1 ช้อนชาอบเชย) รายงานการลดลงของการอดอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือดได้ 18 ถึง 29%, triglycerides 23 ถึง 30%, LDL คอเลสเตอรอลโดย 7-27% และคอเลสเตอรอลโดยรวม 12-26% อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้การศึกษามีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยของผู้คนและยังไม่ ได้สำรวจยังประโยชน์ในระยะยาวของอบเชย ดังนั้นการศึกษาขนาดใหญ่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสนับสนุนอบเชยเป็นผู้เล่นที่ สำคัญต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อต้องการรวมอบเชยในอาหารของคุณเพียงโรยมันกว่ากาแฟ, ซีเรียลของคุณและชา มาตรการป้องกัน, ผู้เข้ายาที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรืออินซูลินไม่ควรใช้ปริมาณที่รักษา โรคของอบเชยจนกว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ใด ๆ
  2. ต่อสู้กับโรคมะเร็ง : แมรี่แลนด์เปิดตัวการศึกษาโดยนักวิจัยที่สหรัฐอเมริกากรมวิชาการเกษตรใน อบเชยพบว่าการลดการขยายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำ เหลือง ตามที่นักวิจัย, อบเชยจะปรากฏขึ้นเพื่อยับยั้งการกระทำของ phosphatases บางซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการแบ่ง (การแบ่งเซลล์) นอกจากนี้อบเชยเป็นแหล่งที่ดีมากของแคลเซียมและเส้นใยที่เกาะกับเกลือน้ำดี และสามารถช่วยลบออกจากร่างกาย โดยการกำจัดน้ำดีใยช่วยในการป้องกันความเสียหายที่เกลือน้ำดีบางอย่างสามารถ ทำให้เซลล์ลำไส้ใหญ่ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  3. ลดคอเลสเตอรอล : เส้นใยและแคลเซียมในอบเชยสามารถช่วยเอาเกลือน้ำดีออกจากร่างกาย เมื่อน้ำดีถูกถอดออกตัวต้องทำลายลงคอเลสเตอรอลเพื่อที่จะทำให้น้ำดีใหม่ กระบวนการนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลสูง ตาม 2003 การศึกษา 60 คน, การบริโภคประจำวันของครึ่งหนึ่งช้อนชา (1 กรัม) ของอบเชย cassia ไม่เพียง แต่ลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ก็ยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ LDL ("ไม่ดี") และระดับไตรกลีเซอไรด์ อย่างไรก็ตามการศึกษาขนาดใหญ่มากขึ้นมีความจำเป็นเพื่อพิจารณาว่าจะมี ประสิทธิภาพอบเชยในการลดคอเลสเตอรอลชนิดที่ของอบเชยในการใช้งานและจำนวนเงิน ที่จำเป็นในการลดระดับคอเลสเตอรอล
  4. Boost สมอง : การศึกษาพบว่าอบเชยกลิ่นอาจเพิ่มฟังก์ชันการคิด, ฟังก์ชั่นหน่วยความจำประสิทธิภาพของการทำงานบางอย่างและเป็นหนึ่งเพิ่มความ ระมัดระวังและความเข้มข้น จากการวิจัยนำโดย ดร. พี Zoladz, อบเชยเคี้ยวหมากฝรั่งหรือเพียงแค่ปรุงแต่งกลิ่นอบเชยการประมวลผลความรู้ความ เข้าใจผู้เข้าร่วมการศึกษาเพิ่ม' โดยเฉพาะอย่างอบเชยปรับปรุงคะแนนของผู้เข้าร่วมในงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวน การตั้งใจทำงานหน่วยความจำหน่วยความจำการรับรู้เสมือนและความเร็วมอเตอร์แบบ ภาพขณะที่ทำงานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้
  5. เพื่อผลประโยชน์ของกระเพาะอาหาร : อบเชยเป็นแหล่งใหญ่ของเส้นใยและสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกเป็นอาการลำไส้ โดยมีระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพดี, โรคลำไส้ใหญ่อาจจะสามารถป้องกันได้ ปัญหาของโรคท้องร่วงและท้องอืดได้อย่างง่ายดายรวมทั้งการแก้ไขโดยอบเชยใน อาหารปกติ
  6. ต่อสู้กับโรคข้ออักเสบ : โรคไขข้อยากลำบากของการนอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มอบเชยไปถึง อาหารในชีวิตประจำวันของคุณด้วยอบเชยของคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มี ประสิทธิภาพ เรียนที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับครึ่งหนึ่งช้อนชา ผงอบเชยรวมกับน้ำผึ้งหนึ่งช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้าทุกเช้ารายงานอย่างมีนัย สำคัญในการบรรเทาอาการปวดข้ออักเสบหลังหนึ่งสัปดาห์
  7. การไหลเวียนโลหิตปรับปรุง : อบเชยมีจำนวนมากที่เรียกว่าสาร coumarin,"ทินเนอร์ที่รู้จักกันดี"เลือด (สารกันเลือดแข็ง) โรคเอดส์นี้ในการไหลเวียนของโลหิตและช่วยป้องกันการอุดตันในเลือด อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับการกำหนดเลือดหรือยาที่ทำให้ผอมบางคนที่มีเลือดออก ผิดปกติไม่ควรใช้อบเชย
  8. energiser Re : ความรู้สึกของการออกมาสวมใส่และความเมื่อยล้าสามารถลบออกได้โดยมีอบเชย มันช่วยเพิ่มพลังงานให้คนมีชีวิตชีวามากขึ้นและช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้เนื่องจากมีคุณภาพร้อนของอบเชยได้รับประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ ที่มีแนวโน้มที่จะรู้สึกร้อนในร่างกายส่วนบนของพวกเขา แต่มีเท้าเย็น มันนอกจากนี้ยังใช้เพื่อให้การสงเคราะห์เมื่อประสบกับการโจมตีของเย็นหรือ ไข้หวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสมในน้ำชากับขิงสดบางชนิด
  9. Anti - จุลินทรีย์ : ห้องปฏิบัติการและการศึกษาเบื้องต้นสัตว์ได้พบว่าอบเชยอาจจะมีคุณสมบัติต้าน เชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ในการทดสอบทางห้องปฏิบัติการการเจริญเติบโตของยีสต์ที่มีการดื้อต่อยาที่ใช้ กันทั่วไป fluconazole ฆ่าเชื้อราได้บ่อย (แต่ไม่เสมอไป) หยุดด้วยสารสกัดจากอบเชย มันใช้งานกับ albicans Candida, เชื้อราที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อยีสต์และนักร้องหญิงอาชีพและ Helicobacter pylori, แบคทีเรียที่มีหน้าที่ดูแลแผลในกระเพาะอาหาร
  10. ทันตกรรม : การใช้อบเชยน้ำผึ้งผสมผงและล้างปากที่ดีและจะช่วยให้ลมหายใจของสดตลอดทั้งวัน ผลการศึกษาล่าสุดของหมากฝรั่งรสอบเชยพบว่าอบเชยอาจจะมีความสามารถในการ ต่อสู้กลิ่นลมหายใจ นักวิจัยกล่าวว่าหมากฝรั่งลดีไฮด์มีซินนามิก, น้ำมันอบเชยซึ่งจะปรากฏจริงลดแบคทีเรียในช่องปากของคุณ นอกจากนี้อบเชยจะแนะนำให้รักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาการปวดฟันในการแก้ไข บ้านจำนวนมาก
  11. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิง : อบเชยนอกจากนี้ยังพบว่าเป็นประโยชน์สำหรับสุขภาพของสตรีเนื่องจากจะช่วยใน การบรรเทาจากตะคริวประจำเดือน discomforts ผู้หญิงอื่น ๆ เป็นที่เชื่อกันว่าอบเชยช่วยในการหลั่งของนมแม่
  12. ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน : บริโภคได้จากการผสมของผงอบเชยและน้ำผึ้งทุกวันไม่เพียง แต่จะช่วยเสริมสร้างความต้านทานของระบบธรรมชาติร่างกาย แต่ยังช่วยปกป้องเราจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส contagions ทำให้แก้วน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเพื่อช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของ คุณในช่วงฤดูหนาว

ลักษณะทางพฤษศาสตร์

ลูกจันทน์เป็นผลผลิตจากพืชในตระกูลไมริสติคาซีอี (Myristicaceae) ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าไมริสติกา แฟรกกรานส์ (Myristica fragrans Houtt.) ลักษณะของพืชเป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดปานกลางจนถึงขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูง 30-60 ฟุต บางครั้งอาจสูงมากถึง 70-80 ฟุต ลำต้นแตกแขนงได้มากมาย เปลือกของลำต้นมีสีเทาเข้ม ใบมีสีเขียวเข้มมีรูปร่างแบบปลายหอก ใบยาว 2-5 นิ้ว หูใบมีสีน้ำตาลหรือสีเหลืองอ่อน ดอกตัวผู้จะเกิดอยู่ในกลุ่ม ส่วนดอกตัวเมียจะเกิดอยู่เดี่ยวๆ และมีขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้ ผลมีรูปร่างเกือบกลม  สีแดงหรือเหลือง หรือเหลืองส้ม มีความยาว 11/2-2 นิ้ว กว้าง 13/16 นิ้ว เมื่อมองดูผลจะมีลักษณะขรุขระ แต่เมื่อจับดูจะเรียบ เมื่อผลสุกจะแตกออกเป็นสองส่วน

 พืชนี้เจริญได้ดีในเขตที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น มีฝนตกในแต่ละปี ประมาณ 80-100 นิ้ว เจริญได้ดีในที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร หรือ 1,500 ฟุต และในดินที่มีฮิวมัสมาก การขยายพันธุ์ได้โดยใช้เมล็ด เมล็ดใช้เวลานาน 6 สัปดาห์ จึงจะงอก บางครั้งอาจนานถึง 3 เดือน หรือบางครั้งอาจะเร็วภายใน 4 สัปดาห์เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฟักตัวของเมล็ดหลังจากงอกแล้วนาน 6 เดือน พืชจะเจริญได้สูง 15-20 ซม. หรือ 6-9 นิ้ว จึงจะย้ายไปปลูกในแหล่งที่ต้องการได้ ในระยะแรกปลูกนี้ พืชต้องการร่มเงาในการเจริญเป็นอย่างมาก จึงมักปลูกปะปนกับพืชให้ร่มเงาต่างๆ เช่น กล้วย เป็นต้น พืชนี้มีต้นตัวผู้และตัวเมียแยกกัน

ต้นตัวเมียเท่านั้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ส่วนต้นตัวผู้มีความจำเป็นเฉพาะการผสมเกสร ตามปกติการเจริญของพืชนี้จะช้ามากโดยจะเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่พืชมีอายุ 6 ปีเป็นต้นไป แต่บางครั้งอาจนานถึง 8-9 ปี ผลผลิตที่ได้จะให้ปริมาณสูงสุดในช่วง 15 ปี และให้ผลผลิตติดต่อกัน ไปจนถึง 30 ปี แต่บางครั้งนานถึง 90 ปี ผลผลิตจากพืชแต่ละต้นในแต่ละปีจะให้ลูกจันทน์ 1,000 ผล ถึง 3,000 ผล ในอินเดียมีพืชนี้ปลูกประมาณ 400 เฮคเตอร์ ในแต่ละปีจะผลิตลูกจันทน์ได้ 200 ตัน และดอกจันทน์ได้ 10 ต้น

ประโยชน์

ลูกจันทน์เป็นเครื่องเทศที่มีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้าง ขวางในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านการแพทย์นั้น ได้ใช้ลูกจันทน์เป็นยามาเป็นเวลานานแล้ว เช่น ใช้น้ำมันหอมระเหย รับประทานแก้การอักเสบของทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับลม ในอินเดียนำไปผสม เป็นยารับประทานแก้ปวดหัว เป็นไข้หรือทำให้ลมหายใจมีกลิ่นสะอาดและแก้อาการผิดปกติ ของระบบทางเดินอาหาร ชาวอาราเบียได้ใช้ลูกจันทน์เป็นยาขับลมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ แก้การเจ็บปวดที่ไตและกระเพาะอาหาร

สำหรับในประเทศไทยนั้นได้ใช้ลูกจันทน์แก้ร้อนใน จุกเสียด กระหายน้ำ ขับลมในลำไส้ บำรุงโลหิต แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้หืด แก้เสมหะ และแก้ริดสีดวง นอกจากนี้ประชากรในภาคใต้ของไทย และมาเลเซียยังได้นำผล (ลูก) จันทน์มาแช่อิ่มเพื่อรับประทานเป็นอาหารหวาน หรือนำส่วนที่เป็นเนื้อของผล ไปทำเป็นผลไม้กวน เป็นต้น ในทางด้านอาหารได้นำลูกจันทน์และดอกจันทน์ไปใช้แต่งกลิ่นอาหารหลายชนิด เช่น พุดดิ้ง ขนมปัง ซอส แฮม เนย ไส้กรอก เค้ก ปลา เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกต่างๆ ทำให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน รวมทั้งได้นำไปใช้ในการถนอมอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้นำลูกจันทน์ และดอกจันทน์ไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมต่างๆ และเครื่องสำอางเช่นกัน

วิธีใช้ลูกจันทน์ในการประกอบอาหาร การใช้ต้องคั่วแล้วป่นก่อนใส่อาหาร ใช้ดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมในแกง เช่น แกงมัสมั่น แกงบุ่มไบ๋ แกงจี๋จ๋วน เป็นต้น รวมทั้งใช้ในการถนอมอาหาร

สารเคมีที่สำคัญ

สารเคมีที่พบในลูกจันทน์จะพบในส่วนของน้ำมันหอมระเหย โดยทั่วไปแล้วลูกจันทน์ มีน้ำมันหอมระเหย 5-15% น้ำมันไม่มีสีหรือสีเหลืองอ่อน สำหรับสารเคมีที่พบมีหลายชนิด เช่น แคมเฟอร์อัลฟา-ไปนีน (a-pinene), แคมฟีน (camphene), ลินาลูล (linalool), ไมริสติซิน (myristicin), ซาฟรอล (safrole), ไอโซยูจีนอล (isoeugenol) เป็นต้น

ในสารเคมีต่างๆ พบอัลฟาไปนีนและแคมฟีน รวมกันมากถึง 80% นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า สารเคมีที่พบในลูกจันทน์ยังแตกต่างกันไปตามแหล่งปลูกอีกด้วย เช่น ยูจินอลและซาฟรอลจะพบในลูกจันทน์ ที่ได้จากหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ส่วมแคมเฟอร์จะพบในลูกจันทน์จากหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเท่านั้น

 

ปริมาณสารเคมีและน้ำมันหอมระเหยของลูกจันทน์จะแตกต่างกันไปตาม แหล่งปลูก สายพันธุ์ของพืช ฯลฯ ยังมีรายงานว่า ระยะเวลาการเก็บรักษาจะทำให้น้ำมันหอมระเหยลดต่ำลง โดยลูกจันทน์ที่เก็บไว้ในสภาวะ ที่มีความกดดันต่ำเป็นเวลานาน 12 เดือน จะมีน้ำมันหอมระเหยลดลงเป็นจำนวนมาก สำหรับอุณหภูมิก็มีผลเช่นเดียวกัน โดยน้ำมันหอมระเหยของลูกจันทน์จะสูญหายไปเมื่อได้รับความร้อน ที่อุณหภูมิสูงและเป็นเวลานาน เมื่อนำลูกจันทน์ไปเป็นส่วนปรุงแต่งในอาหารกระป๋องประเภทเนื้อสัตว์ แล้วนำไปให้ความร้อนที่อุณหภูมิต่างๆ กัน จากนั้นเก็บไว้นาน 2-3 สัปดาห์ จะพบว่าน้ำมันหอมระเหย จะสูญหายที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ดังนั้นในอาหารและเครื่องยาแผนโบราณที่มีลูกจันทน์ เป็นส่วนผสมอยู่ด้วยแล้วนำไปให้ความร้อนที่อุณหภูมิของการต้มจนเดือด (100 องศาเซลเซียส) จะทำให้ประสิทธิภาพของจันทน์สูญเสียไปด้วย

 

 

เอกสารที่แนบ